นายชาญวิทย์ ผลชีวิน เป็นหนึ่งใน 250 สมาชิกวุฒิสภา ที่มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่ง ชาญวิทย์ ถือเป็นตัวแทนจากวงการกีฬา จากการเป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย, อดีตเฮดโค้ชทีมชาติไทย และอดีตตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ล่าสุด นายชาญวิทย์ เปิดเผยถึงจุดยืนในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งชาญวิทย์ กล่าวว่าจะดูนโยบายเป็นหลัก อันดับแรกต้องการ 60 วัน ก่อนที่ กกต. จะประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติ ถึงจะบอกได้ว่าจะโหวตให้ใคร แต่ส่วนตัวมีหลักการในการพิจารณาอยู่แล้ว คือ นโยบายในการบริหารประเทศว่าเป็นอย่างไร และอีกอย่างคือ นโยบายด้านกีฬา เพราะในฐานะคนกีฬาอยากดูว่ามีนโยบายในการพัฒนาวงการกีฬาอย่างไร ไม่ใช่แค่ปลายทางผลแพ้-ชนะ หรือรางวัลเหรียญทอง แต่เป็นโครงสร้างต่างๆ มากกว่า
“ส่วนมาตรา 112 เป็นส่วนหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญมากๆ เพราะผมยึดถือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาธิปไตยเต็มตัว ดังนั้นในระยะเวลา 60 วันที่ กกต. จะพิจารณารับรอง ส.ส. จะขอศึกษารายละเอียดให้ชัดเจน หวังว่าบรรดาพรรคร่วมจะช่วยกันทำให้มาตรา 112 ได้รับการแก้ไขจากเดิมที่เคยจะยื่นเข้าสภา แต่ท่าน ชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ไม่เอาเข้าในครั้งที่แล้ว”
ส่วนนายวรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมฟุตบอลฯ สมาชิกพรรคประชาชาติ หนึ่งในพรรคร่วม ถูกจับตามองว่าจะเป็นตัวแทนในการพูดคุยเพื่อขอเสียง สว. จาก ชาญวิทย์ เพราะมีความสนิทสนมกัน ซึ่งนายชาญวิทย์ กล่าวว่า ตนยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยหรือแสดงความยินดีกับ วรวีร์ แต่หากได้พูดคุยกันจริง ก็ยังยืนยันในหลักการของตนเอง
ด้าน พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตเลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอล ที่เป็น ส.ว.เช่นกัน กล่าวว่า ยังไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาตัดสินใจอีก 2 เดือน ต้องรวบรวมข้อมูลให้ครบก่อน เมื่อถามถึงปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ พล.ต.ท.พิสัณห์ กล่าวว่า ตนเป็นข้าราชการเก่า พวกตนจงรักภักดี แต่เท่าที่ฟัง การแก้ไข ม.112 กระทบพระราชอำนาจ จะลองฟังดูอีกที ถ้าที่ประชุมพรรคร่วมไม่เอา ม.112 มาเกี่ยว ก็พิจารณาว่า เขาเหมาะสมนะ แต่ขออย่าไปแตะต้อง ถ้าไม่ยุ่งกับ 112 ก็โอเค ส่วนเรื่องนโยบายกีฬา ต้องขอดูก่อน จะมีทิศทางในการพัฒนาอย่างไร อีกประการหนึ่งคือ เรื่องพฤติกรรมของ ส.ส.ก้าวไกล ลักษณะก้าวร้าว ข่มขู่ บรรดา ส.ว.ก็มีประวัติรับราชการยาวนาน อยากให้พูดดีๆ อาจจะได้คะแนน แต่รู้สึกว่าจะมีการเตือนๆ กันแล้ว